นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกรณีสมาคมสายการบินประเทศไทย เสนอภาครัฐขยายเวลาการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันออกไปอีก หลังสิ้นสุดเมื่อสิ้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า กรมสรรพสามิตได้พิจารณาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้มีข้อจำกัดทางด้านกฎหมายอยู่ จึงจะไม่มีการเสนอมาตรการลดภาษีน้ำมันเครื่องบินในช่วงนี้ และอาจต้องรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณา โดยระหว่างนี้กรมฯ จะศึกษาเรื่องอัตราภาษีที่เหมาะสมเพื่อเตรียมเป็นข้อมูลไว้ก่อน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิต ได้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน สำหรับเครื่องบินไอพ่น จากอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร เป็นเวลากว่า 2 ปี เพื่อต้องการช่วยเหลือ บรรเทาภาระต้นทุนให้แก่สายการบินในช่วงเผชิญวิกฤติล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดโควิด รวมถึงช่วยดูแลค่าครองชีพการแก่ประชาชน
รายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่กรมสรรพสามิตไม่ขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันเครื่องบิน นอกจากจะติดขัดข้อจำกัดกฎหมาย ที่รัฐบาลในช่วงรักษาการ ไม่มีอำนาจอนุมัติมาตรการภาษีแล้ว อีกเหตุผลมองว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบิน กลับมาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว หลังทั่วโลกสิ้นสุดการระบาดโควิดและกลับมาเปิดประเทศเดินทางท่องเที่ยวได้ปกติอีกครั้ง และที่สำคัญที่ผ่านมา แม้สรรพสามิตจะลดภาษีน้ำมันไปแล้ว แต่สายการบินหลายแห่งก็ยังจำหน่ายค่าตั๋วโดยสารแก่ประชาชนราคาแพงอยู่ดีคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ส่วนการพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ซึ่งจะสิ้นสุด 20 ก.ค. 66 ก็มีความชัดเจนแล้วว่า กระทรวงการคลังจะไม่เสนอขยายเวลาออกไป ซึ่งสาเหตุนอกจากจะมีการท้วงติงว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่มีอำนาจอนุมัติได้ เพราะขัดต่อแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
อีกเหตุผลหนึ่งมองว่าควรปล่อยให้กระทรวงพลังงาน ใช้กลไกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นฝ่ายดูแลแทน เนื่องจากสถานการณ์พลังงานปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติ โดยราคาน้ำมันดิบลดเหลือ 70-76 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อีกทั้งสถานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็มีภาระหนี้ในส่วนหนี้น้ำมันลดลงเหลือเพียงกว่า 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น จึงสามารถใช้กลไกลกองทุนฯ เข้าไปดูแลเองได้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
“อย่างไรก็ตาม เรื่องการใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งน้ำมันไอพ่น และน้ำมันดีเซล จะมีการทำต่อหรือไม่ สุดท้ายคงจะต้องรอความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อีกครั้ง แต่การใช้มาตรการลดภาษีอย่างต่อเนื่อง และพร่ำเพรื่อ จะมีผลเสียต่อการจัดเก็บรายได้ภาพใหญ่ของรัฐบาล รวมถึงการสร้างภาระวินัยการคลังของประเทศในระยะยาวอย่างไม่จำเป็น ซึ่งที่ผ่านมารัฐต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 1.6 แสนล้านบาทแล้ว”